เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๙ ธ.ค. ๒๕๕๓

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เมื่อวานไปเผาศพพระเนาะ เวลาพระปฏิบัติ เห็นไหม เวลาพวกเราปฏิบัติกันนี่กลัวเป็นกลัวตาย เวลาว่าจะเป็นจะตายขึ้นมา นี่เวลามันหลอกว่าจะตาย

นี้เวลาหลอกว่าฟากตาย.. ฟากตายคือว่าอะไรจะตายก่อนขอดูสิ่งนั้น เราเคยผจญเหตุการณ์อย่างนี้มามาก แต่เวลาถึงที่สุดแล้วนี่มันอยู่ที่บุญที่กรรม ถึงที่สุดแล้วคนสิ้นอายุขัยมันก็ต้องตายเป็นธรรมดา แต่ตายแบบนี้เพราะเราต้องสู้ เราสู้เพราะมันจะหลอกว่าตาย เวลามันหลอกว่าตายนะ ถ้าจิตเราสติมันดีนะมันเป็นไปได้ แต่เวลามันวูบมันเผลอไปมันก็ตายไป.. สิ่งที่ตายนี่ผลของวัฏฏะ

เวลาเกิดมาแล้ว นี่เราเกิดมาด้วยบุญกุศล เราเกิดมาเราเป็นมนุษย์ เราถึงมีความรู้สึก มีความนึกคิด มีสิ่งต่างๆ มีพร้อมไปหมดเลย.. แต่ความรู้สึกความนึกคิดนี้.. ความนึกคิดนี้สำคัญมากนะ ความนึกคิดของคนมันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ถ้าเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี มันพัฒนาการที่ดี เห็นไหม เรามีความเชื่อมีความศรัทธา แล้วเรามีการศึกษา มีการพัฒนาการ จิตมันจะพัฒนาของมันขึ้นไปเป็นชั้นๆ นะ มันจะรู้ของมัน มันจะปล่อยวางของมัน

เช่น ! เช่นเวลาเราทำบุญ ใหม่ๆ เราเสียสละเราก็มีความคิดแปลกๆ อยู่ มันตระหนี่ถี่เหนียว มันคิดหาเหตุหาผล แต่พอเวลามันทำจนชำนาญขึ้นไปแล้วนี่จิตมันจะพัฒนาขึ้นไป พอพัฒนาขึ้นไป การแสดงออกอันนั้น.. นี่ภาษาพูด ภาษาต่างๆ มันสำคัญนะ สำคัญว่าเราสื่อสารกัน

แต่ภาษากายนี่เราพยายามจะไม่ให้ออกอย่างนั้น เช่น ! เช่นเวลามีความขัดข้องหมองใจ เรามีความอะไรไปสะดุดใจนี่มันแสดงกิริยาออกเลย เห็นไหม กิริยานั้นเราเก็บไม่อยู่หรอก แล้วคนที่เขาทันนะเขารู้เห็นหมดแหละ นั้นคือกิริยาของกาย

ถ้ากิริยาของกายนั้นมันเพราะอะไร เพราะจิตมันคิดมันแสดงออกอย่างนั้น นี่พูดถึงว่าจิตถ้ามันพัฒนาขึ้นมามาก มันจะพัฒนาของมันขึ้นไป เป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป.. มันพัฒนาเพราะอะไรล่ะ มันพัฒนาเพราะว่าเรามีสติปัญญา เราใคร่ครวญ เราแก้ไข นี่ความคิดของคนมันหลากหลาย มันพัฒนาการขึ้นมา

เรานี่เวลาทำบุญจนเราชำนาญขึ้นมาแล้ว สิ่งนี้เราไม่ติดข้องเลย พอไม่ติดข้อง เห็นไหม เวลาคนทำบุญกันเขาทำบุญเพื่อเอาเกียรติศัพท์ เอาต่างๆ นั้นก็เป็นอย่างหนึ่ง บุญเขาก็ได้ส่วนหนึ่ง แต่เราทำบุญด้วยความบริสุทธิ์สะอาด เห็นไหม ปฏิคาหก.. ผู้ให้ให้ด้วยความบริสุทธิ์ เราได้ทรัพย์สมบัติมาด้วยความบริสุทธิ์ เราได้สิ่งต่างๆ มา ขณะที่ให้เราให้ด้วยความบริสุทธิ์ เราให้ด้วยความพอใจ ให้แล้วมีความชื่นใจ

ปฏิคาหก ! ปฏิคาหกเป็นผู้รับ รับแล้วไปสะสม รับแล้วไปเก็บไว้ รับแล้วไม่ได้ใช้ประโยชน์ของเขา แต่ปฏิคาหกรับแล้วเป็นประโยชน์ ผู้รับรับไปเป็นประโยชน์ แล้วใช้เป็นประโยชน์ นี่ปฏิคาหก เห็นไหม บุญกุศลเกิดมหาศาล

นี้บุญกุศลเกิดมหาศาลนะ บุญกุศลนี้เป็นการฝึกฝน เป็นการพัฒนาจิตของเราขึ้นมา.. เวลาภาวนาขึ้นมา เห็นไหม นี่บุญกุศลนี้มันหมุนในวัฏฏะ มันเป็นผลของวัฏฏะ มันขับเคลื่อนไปในวัฏฏะ แต่เวลาธรรมนี่มันหักวัฏฏะ

“วัฏฏะ-วิวัฏฏะ”

วิวัฏฏะ ! วิวัฏฏะนี่มันทำไมถึงเป็นวิวัฏฏะล่ะ มันมีสิ่งใด เห็นไหม ถึงบอกว่าสุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา.. ปัญญาของคนแต่ละชั้นแต่ละตอน มันเข้าไปแต่ละตอน คนเกิดมานี่ทุกคนเกิดแล้วตายหมด แม้แต่สัตว์เกิดแล้วก็ตาย.. แต่เวลาตาย คนเรานี่นะเวลามันจะตายขึ้นมา ความตายนี่แหละมันทำให้เราทุกคนกลัว ทุกคนว่าเราตายแล้วไปไหน ทุกคนจะละล้าละลัง

แต่เวลาเราจะเผชิญกับกิเลสมันก็เอาความตายนี้มาหลอกเรา.. ถ้าความตายนี่ความตายโดยสมมุติไง นี่สมมุติว่าตาย อารมณ์ความรู้สึกว่าตาย พอตายแล้วเราก็หวั่นไหว พอหวั่นไหวเราก็คล้อยตามมัน

แต่ถ้าเรามีสติปัญญาล่ะ.. เรามีสติปัญญาขนาดไหน เราจะต่อสู้กับมันขนาดไหน ถ้ามีสตินะสติมันทันตลอด พอสติมันทันตลอดมันจะตายได้อย่างไรล่ะ ในเมื่อความรู้สึกมันจะตายตลอด เวลาตายมันจะวูบ.. วูบ ! นี่มันจะหดตัวเข้ามาแล้วมันออกจากร่างไป ถ้าออกจากร่างไป นั้นเป็นกรณีหนึ่งของตายในวัฏสงสาร ตายในโลกเขานะ แต่ถ้ากิเลสมันหลอกล่ะ มันเอาอารมณ์อย่างนี้มาหลอกเราแล้วเราก็เป็นลม เห็นไหม คนเป็นลม พอส่งไปโรงพยาบาลมันก็ฟื้นมาตลอดไม่เห็นมันตายซักที

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสลบถึง ๓ หน ก็ช็อกนั่นล่ะ ๓ ครั้ง ถ้าช็อกตายก็ตายนะ แต่ฟื้นมา หลวงปู่มั่นท่านก็บอกว่าท่านช็อกถึง ๓ หน เพราะท่านเป็นไข้ ท่านไม่สบาย นั่งนี่สลบไปถึง ๓ หนนะหลวงปู่มั่น แต่พอท่านบอกว่าท่านนั่งแล้วเป็นไข้ พอนั่งไปมันก็สลบไปเลย พอรู้สึกตัวขึ้นมานี่ นอนอยู่.. รีบลุกขึ้นมานั่งต่อนะ พอนั่งต่อก็สู้กับมัน อะไรตายๆ

ถ้าเราสู้กับมัน นี่ธรรมะฟากตาย ฟากตายเพราะอะไร เพราะมันตายโดยสมมุติ แต่ถ้ามันตายจริงๆ ล่ะ มันตายจริงๆ เห็นไหม

นี่เมื่อวานไปเผาศพพระมา เขาตายจริงๆ ตายเพราะว่าเขาหมดอายุขัยของเขา นี่ผลของวัฏฏะ เพราะเวลาเขาตายจริงๆ ถ้ากิเลสมันตายล่ะ กิเลสมันตายแล้วความตายไม่มี.. ความตายไม่มี ดูสิ ปัจจุบันนี้ความรู้สึกเรามีใช่ไหม แต่ความรู้สึกเรานี่มันมีความลังเลสงสัย เรารู้สึกว่าอะไร เรามีความคิดอย่างไร แต่พอมันชำระกิเลสทั้งหมดแล้วมันไม่มีความสงสัย

ความรู้สึกนี่ธรรมธาตุ.. สิ่งที่เป็นวิมุตติสุข วิมุตติคือความจริง มันมีความรู้สึกอยู่ มันมีความรู้ของมันอยู่ ทีนี้ความรู้ของมัน มันไม่มีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง ถ้าไม่มีสิ่งใดขาดตกบกพร่องมันจะตายไหม.. มันเคลื่อนไง มันเคลื่อนจากสิ่งที่มันเป็นสถานะไง สถานะที่เป็นมนุษย์นี่ไง สถานะเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหมนี่ มันหมดอายุขัยของมัน มันต้องเคลื่อนไปเป็นผลของวัฏฏะไง แล้วสิ่งที่มันไม่เคลื่อนล่ะ ! มันคงที่ล่ะ ! เพราะอะไร

เพราะพระอรหันต์ เห็นไหม สอุปาทิเสสนิพพาน.. นี่พระอรหันต์ที่มีชีวิตอยู่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ ๔๕ ปีมีชีวิตอยู่ ครูบาอาจารย์เรามีชีวิตอยู่ นี่สิ้นกิเลสแล้วแต่มันมีธรรมธาตุนี้อยู่ เห็นไหม พอมันไม่เคลื่อน ไม่มีอะไรบกพร่อง แล้วมันตายได้อย่างไรล่ะ เวลาพระอรหันต์ตายตายได้อย่างไรล่ะ พระอรหันต์ตายนี่มันสลัดร่างนี้ทิ้ง เพราะอะไร เพราะสอุปาทิเสสนิพพาน

ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ภารา หะเว ปัญจักขันธา.. ความรู้สึก ความนึกคิด ความเป็นไปนี่เป็นภาระ เป็นหน้าที่ เป็นอะไรต่างๆ ที่รับผิดชอบมัน แล้วถึงที่สุดมันต้องมีเพราะอะไร เพราะเราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม มีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ใช่ไหม..เทวดามีขันธ์ ๔ มนุษย์มีขันธ์ ๕ แล้วเวลาเป็นพรหม พรหมมีขันธ์ ๑ ขันธ์ ๑ ก็มีความรู้สึกนั้นอยู่ แต่พรหมยังมีภพมีต่างๆ ของมัน แต่พระอรหันต์ไม่มีภพ ไม่มีสิ่งต่างๆ เลย นี่ถึงบอกการตายมันถึงไม่มีไง

การตายไม่มีเพราะว่าการตายนี่มันเป็นผลของวัฏฏะ มันเกิดดับ ความเกิดดับ แต่ธรรมธาตุมันไม่มีการเกิดดับ มันมีเวรมีกรรมของมันนี่ตายโดยสมมุติ คือมันสมมุติว่าตาย ความคิดว่าตาย ตกอกตกใจ.. การตายในวัฏฏะ ! การตายในวัฏฏะคือเราตายจากภพจากชาติ เราเกิดจากชาติใหม่.. กิเลสตายแล้วไม่มีอะไรตาย

ฉะนั้นกว่าที่มันจะพ้นจากความตาย ข้ามจากความตายนั้นไป ถ้าข้ามความตายนั้นไป นี่กิเลสมันก็รู้ได้ว่าเกิดตายๆ ทุกคนต้องกลัว เราก็รู้ได้ เทวดา อินทร์ พรหมก็รู้ได้.. เทวดานะ เวลาเทวดาจะตาย นี่เทวดาเขามีแสงมีทิพย์เป็นสมบัติของเขา แล้วเวลาใช้อายุขัยของเขาก็เหมือนเราชราภาพ ชราคร่ำคร่าไป นี่พอเวลาเขาชราคร่ำคร่า แสงนั้นมันจะหด มันจะสั้นลง มันจะหมองลงต่างๆ จนถึงที่สุดมันเฉาต่างๆ เขาก็รู้ว่าหมดอายุขัยของเขา

นี่เขาก็ต้องตาย.. เขาตายแล้วเขาอวยพรกัน เขาดูแลกัน เห็นไหม ว่า “ตายแล้วขอให้เกิดเป็นมนุษย์นะ เป็นมนุษย์แล้วให้พบพระพุทธศาสนานะ ให้ทำบุญกุศลขึ้นมาให้เกิดเป็นเทวดาใหม่” เพราะเทวดาเขารู้เรื่องของเทวดา มนุษย์ก็รู้เรื่องของมนุษย์ มนุษย์คุยกันเรื่องมนุษย์ เรื่องความเป็นไปของโลกนี้ เทวดาก็คุยกันในภพชาติของเขา พรหมก็คุยกันในภพชาติของเขา แต่เขาไม่รู้ว่าเป็นผลของวัฏฏะ ไม่รู้ความเป็นไปที่สิ่งนี้มันซับซ้อนไป

แต่จิตเราเวลาภาวนา พอจิตมันสงบเข้ามันจะรู้ของมันนะ ถ้าคนมีอำนาจวาสนาจะรู้ของมันเลยว่า นี่มันสะสมมาอย่างใด เมื่อวานนี้มาอย่างไร เมื่อวานซืนมาอย่างไร เมื่อเดือนที่แล้วมาอย่างไร เมื่อปีที่แล้วมาอย่างไร.. จิตมันเกิดมานี่มันเป็นคนเกิดเอง มันเป็นคนทำเอง มันเป็นคนสัมผัสเอง มันเป็นคนเก็บข้อมูลไว้เอง มันไม่รู้ได้อย่างไร มันรู้ ! แต่ในปัจจุบันนี้ไม่รู้เพราะเหตุใด ไม่รู้เพราะเราเกิดเป็นมนุษย์ เราเกิดเป็นภพชาตินี้ สัญญาในปัจจุบันนี้มันครอบงำหมดนะ ครอบงำหมด

นี่สัญญาคือความจำ ความจำตั้งแต่เกิดเป็นเด็กนี่เราจำได้หรือจำไม่ได้ขึ้นมา ความจำนี่ขันธ์ ๕ เห็นไหม ขันธ์ ๕ สัญญา.. ขันธ์ ๕ นี่ขันธ์ของมนุษย์ สัญชาตญาณของมนุษย์มันคลุมไว้ไง แต่ความเป็นมนุษย์มันมีที่มาที่ไป ความเป็นเทวดา อินทร์ พรหม มันมีที่มาที่ไป จิตนี้มันมีที่มาที่ไป.. ความมีที่มาที่ไป นี่สิ่งนี้มันหมุนไปในวัฏฏะ มันเป็นธรรมชาติของมันอันหนึ่ง แต่เพราะธรรมชาติอันนี้มันหมุนเวียนอันหนึ่งแล้ว เราเกิดมาทำดีทำชั่วมันจะให้ผลกับธรรมชาตินั้น ให้บุญกุศลที่เราแตกต่างกันนี่ไง

ความรู้สึก ความนึกคิด จริตนิสัยของคนแตกต่างกันเพราะว่าการเกิดและการตาย การฝึกหัด พันธุกรรมของมัน มันเปลี่ยนแปลงของมันไปไง แล้วนี่เราเกิดมาเป็นพระ เห็นไหม เราเกิดมาเป็นนักปฏิบัติ เราเป็นพระนี่เราพบพระพุทธศาสนา เราจะทำของเรา เราแก้ไขของเรา ฉะนั้นสิ่งนั้นมันเป็นอุปสรรค มันเป็นสิ่งที่พอเราบอกว่าสิ่งนั้นหนักเกินไป สิ่งนี้เบาเกินไปนี่ มันจะทำให้เราอ่อนแอ ทำให้เราไม่เข้มแข็ง

ถ้าเราเข้มแข็ง ถ้าเรามีสติ เห็นไหม สิ่งที่มันจะตายนี่เรามีสติอยู่ เรามีสติ เราทำสมาธิ เราเข้าไปสมาธิ.. เรามีสติมีสมาธิ เราเกิดปัญญาก็เป็นโลกุตตรปัญญา ถ้าเราขาดสติ เรามีแต่การตื่นกลัว เวลาวูบมันก็ตายตามวัฏฏะนั่นล่ะ แต่ถ้ามีสติขึ้นมานี่มันเหนี่ยวรั้งไว้ไง นี่ว่ารั้งไว้ๆ รั้งไว้ด้วยอะไร

เวลาครูบาอาจารย์ ดูสิ คนหมดอายุขัยเขายังต่ออายุมาได้.. ต่ออายุ เห็นไหม ต่ออายุหมายถึงว่า ดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะจะอยู่ได้อีก สร้างบุญญาธิการมา ๘๐ ปีนี่บุญที่สร้างมา เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาพูดในพระไตรปิฎกว่า “ในภัทกัปนี้ เราเป็นผู้ที่มีอายุ ๘๐ ปี อายุน้อยที่สุด” อายุน้อยที่สุด เห็นไหม ดูสิ องค์อื่นเขามีอายุมากกว่า

ทีนี้สิ่งที่อายุน้อยที่สุด แต่ถ้าพูดถึงสิ่งที่เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วนี่มีบารมีธรรม มีอิทธิบาท ๔ ! ผู้ใดมีอิทธิบาท ๔ จะอยู่อีกกัปหนึ่งก็อยู่ได้.. พยายามบอกพระอานนท์ เทศน์บอกพระอานนท์ให้พระอานนท์อาราธนาถึง ๑๖ หน เพราะพระอานนท์ บอกแล้วบอกเล่าพระอานนท์ มารดลใจพระอานนท์จนพระอานนท์เข้าใจไม่ได้ พอมารมันดลใจนะ นี่ตั้งแต่วันมาฆบูชา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “มารเอย.. เธออย่าขวนขวายไปเลย อีก ๓ เดือนข้างหน้าวันวิสาขบูชาเราจะปรินิพพาน” ปลงอายุสังขารไง

โลกธาตุหวั่นไหว พระอานนท์ถึงได้รู้ พอพระอานนท์ได้รู้ว่านี่สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะอะไร ไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

“อานนท์เป็นอย่างนี้เอง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิด ตรัสรู้ ปลงอายุสังขาร ปรินิพพาน.. โลกธาตุจะหวั่นไหวอย่างนี้”

โอ้โฮ.. รู้เลยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปลงอายุสังขาร.. ขอแล้วขออีก

“อานนท์ เราบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือถึง ๑๖ หน ถ้าเธออาราธนาเรา เราจะปฏิเสธเธอถึง ๒ หน หนที่ ๓ เราจะรับอาราธนาของเธอ”

ถ้ารับอาราธนาของเธอคืออยู่อีกกัปหนึ่ง.. นี่การอยู่อีกกัปหนึ่ง กาลในพุทธศาสนานี่พระพุทธเจ้าทำได้ คำว่าต่ออายุไง เราบอกว่าต่ออายุต่อไม่ได้ คนเรามันเป็นไปตามกรรม.. ใช่ ! คนเราเป็นไปตามกรรม แต่คุณงามความดี สิ่งที่เป็นบุญกุศลนี่มันส่งเสริมได้ การเสริมได้ การเสริมนั้นเสริมโดยโลกนะ แต่ครูบาอาจารย์ของเรานี่ทำได้ถ้าจะทำ

รั้งไว้ๆ นี่ คำว่ารั้งไว้นี่รั้งไว้เพื่ออะไรล่ะ เพราะอะไร เพราะว่าสิ่งที่อยู่และสิ่งที่ดับมันก็มีค่าเท่ากัน รั้งไว้คือเพื่อประโยชน์โลก เห็นว่าเป็นประโยชน์มันก็ทำ ถ้าไม่เห็นความเป็นประโยชน์นะ นี่มันก็ปล่อย มันก็จบ..

โลกเป็นอย่างนี้ ถึงบอกว่าผลของวัฏฏะ ความเห็นของคนมันมีหลากหลายไป เราเป็นนักปฏิบัติ เราเป็นพระ เราต้องมีจุดยืนของเรา เราต้องเข้มแข็งของเรา เห็นไหม มันเป็นอย่างนี้มา !

คนเราถ้าเกิดถ้าตายนี่นะมีความเสียใจ คนเกิดมาแล้วมีความทุกข์ความยาก มีความเสียใจรำพันพิไรนี่ น้ำตาที่เก็บไว้แต่ละภพแต่ละชาตินี่น้ำทะเลสู้ไม่ได้ แต่นี้มันเหือดแห้งไป มันหมุนเวียนไป แล้วคิดกันอย่างนี้เราก็เห็นอย่างนี้ตลอด มันต้องเตือนใจเรา เราต้องมีสติปัญญาของเรา

เวลาทำหน้าที่การงานทำทุกอย่าง มันก็มีอารมณ์ความรู้สึก มีผลกระทบทั้งนั้นล่ะ ความผลกระทบนั้นน่ะ แล้วกระทบแล้วกระทบเล่า กระทบแล้วกระทบเล่า เราจะตั้งสติของเราอย่างไร เราจะพาจิตเรา.. พาจิตคือความรู้สึกนึกคิดนี้ ไม่ใช่พาร่างกายนะ พาความรู้สึกนึกคิดนี้ให้มันผ่านวิกฤติ เวลาเกิดวิกฤติเกิดการบีบคั้นในหัวใจนี่เราจะพามันไปอย่างไร เวลามันมีความสุข มันมีความรื่นเริงนี่เราจะพามันไปอย่างไร.. ตัวจิตนี้ตัวสำคัญ เห็นไหม คิดดี คิดชั่ว มีการกระทำต่างๆ ในหัวใจนี่เราจะพามันเป็นอย่างไร สติปัญญามันจะควบคุมมันได้ แล้วมันจะทำประโยชน์กับเราได้

ฉะนั้นการเกิดการตายในวัฏฏะก็อันหนึ่ง การเกิดการตายในผลของกิเลสมันก็เป็นอย่างหนึ่ง แล้วถ้าสิ้นกิเลสล่ะ ธรรมนี่มันเกิดตายอย่างไร.. นี่การตายตายแล้วไม่เกิดอีก การตายตายในชีวิตนี้ ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด เพราะมันมีผล.. ผลเพราะเราสร้างมาเป็นมนุษย์ แล้วมนุษย์นี้ประพฤติปฏิบัติจนสิ้นกิเลสไปแล้ว นี่สิ่งที่เกิดเป็นมนุษย์ เห็นไหม สิ่งที่มันต้องสละทิ้งเป็นธรรมดา เพราะมันเป็นผลของวัฏฏะ

นี่ดอกบัวเกิดจากโคลนตม มันเกิดจากโคลนตม มันมีพัฒนาการของมัน มันเป็นวัฏฏะของมัน แล้ววิวัฏฏะที่มันออกไปด้วยสัจธรรม ด้วยมรรคญาณ ด้วยการกระทำของเรา ด้วยปัญญาของเรา ด้วยความหลุดพ้นของเรา แล้วเราจะไม่มาเกิดมาตายอย่างนี้อีก เอวัง